Skip to main content

ทำไมถึงต้องมีทั้ง iPhone และ iPod touch

Submitted by ezybzy on

บทความนี้เขียนเล่นๆ คาดเดาเอาเองทั้งนั้นและไม่ระบุแหล่งที่มาของข้อมูล

ถ้าจำกันได้เดือนมกราคมปี 2007 ที่นครซานฟรานซิสโก Steve Jobs ได้กล่าวไว้ในงาน Macworld ปีนั้นว่า “30 ปีที่แล้วมันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น” แล้วเราก็ได้เห็นการเปิดตัว iPhone โปรเจคที่ Apple เก็บงำไว้นานตั้งแต่ช่วงกลางปี 2004 (เคยเห็นบทความหนึ่งที่รวบรวมข่าวลือสรุปไว้ประมาณนี้ และรวมจากคำพูดของ Apple ในวันนั้น)

แล้วในช่วงเดือนกันยายนปีเดียวกัน Apple ได้ออกผลิตภัณฑ์ iPod touch ซึ่งคำติดปากพวกเราในช่วงนั้นคือ “iPhone ที่ใช้โทรศัพท์ไม่ได้”

ในช่วงเวลาดังกล่าว iPod touch มันก็เป็นได้เพียงแค่ iPod ที่ต่ออินเตอร์เน็ตได้เท่านั้น (ไม่นับรวมการเจาะระบบเข้าไปแก้ไขเพิ่มเติมฟังก์ชั่นนะ) แล้วหลังจากนั้นในเดือนมกราคม 2008 ทาง Apple ได้เพิ่มความสามารถให้กับ iPod touch ให้เทียบเท่ากับ iPhone โดยการอัพเดตระบบปฏิบัติการเป็นรุ่น 1.1.3 ซึ่งนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ iPod touch เริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆ คือ ต้องเสียเงินเพิ่มเพื่อใช้ฟีเจอร์ดังกล่าว เนื่องจากวิธีทำธุรกิจของ iPod และ iPhone ไม่เหมือนกัน

มาเทียบที่ฟีเจอร์ของอุปกรณ์ในรุ่นแรก เราจะเห็นว่า iPod touch รุ่นแรก คงความเป็น iPod ไว้ได้ครบถ้วนคือ ไม่มีอะไรที่มีประโยชน์เป็นพิเศษที่ iPod ตัวอื่นๆ ในขณะนั้นมี กล่าวคือโดยทั่วไป iPod ถูกออกแบบมาให้ใช้กับหูฟัง, ลำโพง ทำให้ iPod touch รุ่นแรกไม่มีลำโพงสำหรับใช้ฟังเสียงในตัว (จริงๆ มันมีลำโพง แต่เป็นเพียงลำโพงสำหรับให้ส่งเสียงเวลา Unlock จากการล็อคหน้าจอเท่านั้น) ต้องต่อเข้ากับหูฟังหรือลำโพงเท่านั้น เมื่อไม่มีลำโพงจึงไม่มีความจำเป็นต้องมีปุ่มปรับระดับเสียง ไม่มีไมโครโฟน ไม่มี Bluetooth นอกจากนี้ยังมี CPU ในเครื่องที่ค่อนข้างจะช้ากว่าเมื่อเทียบกับ iPhone รุ่นนั้น เนื่องด้วยความต้องการในครั้งแรกมันเป็นเพียงแค่ iPod ที่มีจอสัมผัสเท่านั้น (สองฟีเจอร์ใน iPhone คือเป็น iPod และเล่นอินเตอร์เน็ตได้)

เหตุผลที่ต้องมี iPod touch รุ่นแรก นั้นค่อนข้างง่ายคือ iPhone ยังวางขายอย่างเป็นทางการแค่ 5 ประเทศทั่วโลก การให้ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ Apple ค่อยๆ คุ้นเคยกับวิธีการใช้งานแบบใหม่ๆ ผ่านทาง iPod touch น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะมีแต่ได้กับได้ (ได้เงิน, ได้รับผลตอบรับ) และผลสุดท้ายในเดือนมีนาคมปี 2008 ก็ได้มีการประกาศระบบปฏิบัติการรุ่น 2.0 ของ iPhone ออกมาซึ่งฟีเจอร์สำคัญของมันคือ App Store ซึ่งเป็นช่องทางสำหรับในพัฒนาที่จะพัฒนา Application สำหรับ iPhone/iPod touch ที่นอกเหนือจากการทำ Web Application ที่ทาง Apple ได้เปิดเป็นช่องทางเดียวในผลิตภัณฑ์ยุคแรก

หลังจากนั้นก็ได้มีการปรับปรุงตัว iPhone ในกลางปี 2008 เพิ่มความสามารถในการรองรับ 3G ให้กับอุปกรณ์ แต่โดยรวมของอุปกรณ์ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใด (ไม่นับรายละเอียดเล็กน้อยเช่นช่องลำโพง, หูฟังที่เปลี่ยนไป การเปลี่ยนไปใช้กรอบแบบพลาสติกแทนโลหะ) เรียกได้ว่าผู้ใช้แทบไม่รู้ถึงความเปลี่ยนแปลงนอกจาก 3G เลย

ในเดือนกันยายนปี 2008 ช่วงเวลาการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ iPod ประจำปี ปีนั้นมี iPod touch รุ่นที่สองออกมา รุ่นนี้ Apple ได้เปลี่ยนการทำตลาดจากแค่ iPod กลายเป็นเครื่องเล่นเกมส์ไปแล้ว ทำให้ iPod ตัวนี้จำเป็นต้องมีลำโพงในตัว ทำให้มีปุ่มปรับระดับเสียงมาด้วย และยังมีการแอบใส่ Bluetooth เข้ามา ซึ่งถูกเปิดให้ใช้ความสามารถนี้ในภายหลัง โดยในช่วงแรกอุปกรณ์ตัวนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานกับผลิตภัณฑ์ Nike+ เท่านั้น เมื่อต้องการเป็นเครื่องเล่นเกมส์ CPU แรงๆ ก็เป็นสิ่งที่ต้องใส่เข้ามา จะพบว่า iPod touch รุ่นนี้มี CPU ที่ดีกว่า iPhone ทั้งสองรุ่น และก็เป็นก้าวแรกที่เหมือนว่า iPod touch นั้นมีความสามารถที่แซงหน้า iPhone ไปบ้างนิดหน่อย

เมื่อเปิดระบบปฏิบัติการรุ่น 2.0 ออกมา เราก็พบว่าของที่ iPod touch ให้มาในรุ่นแรกมันชักจะไม่พอแล้ว ก็เป็นเหตุผลที่ดีที่จะมีการปรับปรุงให้มันดีขึ้น จึงทำให้ iPod touch รุ่นสองนั้นเหมาะสมกับระบบปฏิบัติการรุ่น 2.0 มากกว่า iPhone 3G รวมถึงความสามารถพิเศษอีกหนึ่งอย่างที่เหมือนจะจงใจเก็บไว้ให้ iPod touch คือการสนับสนุนหูฟังพร้อมไมโครโฟนและรีโมทรุ่นใหม่ของ Apple ซึ่งใน iPhone ยุคนั้นก็มีหูฟังแบบมีไมโครโฟนและรีโมทแล้ว แต่ความสามารถยังถูกจำกัดที่ไม่สามารถกดปรับระดับเสียงได้จากบนตัวรีโมทเลย ซึ่งถ้าเอาหูฟังรุ่นใหม่กลับไปใช้กับ iPhone รุ่นเก่าก็จะไม่ได้ความสามารถนี้ เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของซอฟท์แวร์ เป็นเรื่องของฮาร์ดแวร์ล้วนๆ

ถึงจุดนี้น่าจะมีการตั้งคำถามว่า “ทำไมมุมของของ Apple เปลี่ยนไปล่ะ?” เหตุผลที่พอจะยกมาอธิบายได้ก็คือ iPhone 3G ถูกนำเข้าสู่ตลาดที่หลากหลายมากกว่าแต่เดิม 5 ประเทศแล้ว ตั้งแต่เริ่มแรกที่ประมาณ 20 ประเทศจนสุดท้ายไปจบที่ระดับ 70 ประเทศ ทำให้ iPod touch ขายได้ยากขึ้น การเพิ่มความสามารถให้ iPod touch มีความล้ำหน้าตัว iPhone ไปบ้าง ย่อมส่งดีกับ Apple ที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์สองอย่างไม่กินกันเอง ยังขายได้ดีอย่างต่อเนื่อง (แม้ว่า iPhone จะขายได้ดีกว่าก็ตาม เนื่องด้วยความสามารถที่เยอะกว่า)

มาถึงปีนี้ เมื่อเดือนมีนาคม 2009 มีการประกาศเตรียมเปิดตัวระบบปฏิบัติการรุ่น 3.0 ซึ่งพยายามลดข้อจำกัดจากเดิม เป็นการเปิดกว้างมากขึ้น และใช้ทรัพยากรระบบมากขึ้น ทำให้อุปกรณ์เดิมๆ มันชักจะไม่พออีกแล้ว เช่นเดิมคือเดือนมิถุนายน iPhone รุ่นใหม่ภายใต้ชื่อ iPhone 3GS ก็ถูกเปิดตัวขึ้น มีการปรับปรุงประสิทธิภาพของ CPU มีการเพิ่มอุปกรณ์เช่นเข็มทิศ การปรับปรุงกล้องที่สามารถปรับโฟกัสและบันทึกภาพวีดีโอ และการสนับสนุนอุปกรณ์หูฟังรุ่นใหม่ แต่ที่ต่างออกไปคือรูปลักษณ์ภายนอกยังคงเดิมทุกประการ แถมยังคงมีการทำตลาดผลิตภัณฑ์ iPhone 3G อยู่เช่นเดิม (แต่ลดเหลือแค่ความจุเดียว สีเดียว) ทำให้ความสนใจกลับไปสู่ iPhone อีกครั้ง และในเดือนกันยายน 2009 ก็ได้มีผลิตภัณฑ์ iPod touch รุ่นที่ 3 ออกมา โดยเช่นเดิมพยายามแซงหน้า iPhone 3GS ในแง่ของความเร็ว CPU รวมถึงความจุ (ไม่ได้กล่าวถึงในการเปรียบเทียบทั้งสองรุ่นที่ผ่านมา) และความสามารถบางอย่างที่ยังไม่ถูกเปิดให้ใช้งาน ต้องรอซอฟท์แวร์รุ่นถัดไป แต่ที่ขาดออกไปคือกล้องที่คาดว่าน่าจะมีโอกาสได้ปรากฏตัวก่อนจะถึงรุ่นที่สี่ แต่ที่เหมือนกับ iPhone ก็คือยังคงใช้รูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์เช่นเดิม แถมยังคงทำตลาดผลิตภัณฑ์รุ่นเก่าบางความจุเช่นเดิม

ถึงจุดนี้เราจะได้เห็นรูปแบบการทำธุรกิจที่คล้ายๆ กันของสองผลิตภัณฑ์นี้ ซึ่งก็น่าจะทำให้เราคาดเดาเหตุการณ์ในอนาคตได้ง่ายกว่า ต่อไปจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรกับ iPhone/iPod touch และทำไมจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น มันก็เรื่องของผลกำไรทั้งนั้น จะให้ Apple ทำผลิตภัณฑ์ตัวหนึ่งให้ดีฆ่าอีกตัวหนึ่ง Apple ก็ทำได้ แต่มันจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับ Apple เลย เพราะมันได้ไม่คุ้มเสีย แทนที่จะมีหลายๆ ตลาดให้หารายได้ น่าจะดีกว่าจำกัดตลาดตัวเองให้เล็กลงและขายผลิตภัณฑ์ได้น้อยอย่างลง