Skip to main content

ประสบการณ์จากสิงคโปร์กลับกรุงเทพ

Submitted by ezybzy on

กลับมาถึงได้หลายวันแล้ว แต่ไข้ขึ้นเพิ่งจะดีขึ้นเต็มที่ก็วันนี้ ก็เลยคิดว่าน่าจะสรุปประสบการณ์กันเสียทีว่าได้อะไรมาบ้าง

การเดินทาง

ถือว่าไม่ได้ผิดแผนเท่าไร วางแผนอย่างไรก็ได้อย่างนั้น มีที่ประหลาดใจนิดหน่อยก็ตอนซื้อตั๋วรถไฟจาก Woodlands ไป JB Sentral ที่ราคาแพงกว่าที่คิด (แต่จริง ๆ ในเว็บเขาก็เขียนไว้นะ แค่มันไม่ได้อยู่ในตาราง) ตัว SMRT บางช่วงก็สัมผัสได้ถึงความช้า (น่าจะเป็นปัญหาของราง) ส่วน KTMB นั้นอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านก็เลยยังไม่พัฒนาเท่าไร (แต่ถ้ามีโอกาสได้ไปขึ้นรถไฟไฟฟ้าอาจจะดีกว่านี้ก็ได้) ส่วน รฟท. ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากก็ได้อะไรตามที่คิดว่าจะได้อยู่แล้ว ถือว่าดีประทับใจคุ้มค่าเงิน

ที่พัก

ที่แรกเราเลือก Hostel เจอครั้งแรกตกใจครับ นึกว่าไปค้างบ้านเพื่อนอะไรแบบนั้น สภาพคือห้องแถว 1 คูหา 1 ชั้นมีห้องโถงใหญ่เป็นเตียงรวม เราเลือกพักห้องเล็กซึ่งมีห้องน้ำในตัว พอเข้าไปก็พบกับขนาดของห้องที่ถือว่าเล็ก (แต่ก็ใหญ่กว่าที่เคยไปนอนที่ฮ่องกงเยอะเลย) ข้อเสียที่อยากจะวิจารณ์คือบรรยากาศมันสลัว ๆ ไปหน่อย อีกอย่างคือบันไดเดินขึ้นก้าวสั้นไปหน่อย นอกนั้นบริการดีครับแนะนำการเดินทางได้ดี (ตอนไปถึงก็ยังมีนงงว่าจะไป Woodlands อย่างไร) ที่ที่สองใน Butterworth เป็นโรงแรม พอเข้าไปก็โรงแรมครับบรรยากาศโรงแรม เนี้ยบทุกอย่าง เสียอย่างเดียวคือห้องที่ได้ดันไม่มีช่องหน้าต่าง ตื่นมาเลยไม่เห็นแสงแบบเดียวกับคราวที่อยู่ฮ่องกงเลย (อันนั้นเป็นหน้าต่างหลอก) แต่โดยรวมก็ถือว่าดีครับ จริง ๆ เราก็ไม่ได้ใช้เวลาในที่พักมากเท่าไรนอกจากนอนแล้วรีบ ๆ เผ่นไปที่อื่น ข้อดีของทั้งสองที่คือมี Wifi ฟรีไม่ล็อค MAC หรือใช้ Radius ทำให้เราใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อมันได้มากที่เราอยากจะใช้เลย (iPhone 2 เครื่อง, iPad 1 เครื่อง)

การสื่อสาร

ตอนไปถึงสิงคโปร์เนื่องจากผมไม่ได้เปิด Data Roaming ไว้ (สั่งปิดไปก่อนจะออกเดินทางเนื่องจากเห็นว่าของค่ายที่น้องที่ไปด้วยเป็นแบบ Unlimited ซึ่งคุ้มกว่าของผม) ไม่แน่ใจว่าด้วยเหตุนี้หรือไม่ทำให้โทรศัพท์ของผมไม่จับสัญญาณเครือข่ายใดเลย แต่พอเกาะ Personal Hotspot ก็ได้ iMessage ให้น้องที่ประเทศติดต่อ Call Center จัดการให้ แต่มันก็ยังใช้ไม่ได้อยู่ดี มาใช้ได้ตอนจะข้ามไปมาเลเซียนี่แหละ จากการใช้ Personal Hotspot กระหน่ำนี้ ทำให้เห็นความกินพลังงานของฟีเจอร์นี้ ขนาดว่าทุก 3 ชั่วโมงต้องหยิบแบตเตอรี่สำรองมาใช้กันอยู่เนือง ๆ แล้วก็พบว่าเมื่อเครื่อง Sleep ไปซักระยะ จะกลับมาต่อ Personal Hotspot ไม่ค่อยได้ ต้องให้เครื่องแม่เปิดเข้าเมนูดังกล่าวซักพักเครื่องลูกถึงจะต่อใช้งานได้

อาหารการกินในสิงคโปร์

อาหารในสิงคโปร์หลากหลาย ขึ้นกับบริเวณที่เราผ่านว่าเป็นชุมชนของชาติใด เราเจอโรงอาหาร (เขาเรียกว่า Coffee Shop นะ) ตั้งแต่อาหารแขก อาหารจีน จนร้านที่ขายของที่คล้ายอาหารไทย (ไม่อยากเรียกว่าอาหารไทยเลย เพราะมันไม่ใช่) แต่ร้านที่เราเลือกรับประทานคืนนั้นเป็นร้านเหล้า (ก็น้องมันอยากดื่ม) ด้วยความหิวประกอบกับขาดสติตอนสั่ง เห็นคำว่า chili ก็สั่งไว้ก่อนเลย (กลัวจืด) สิ่งที่เราได้มาคือ ข้าวผัดหมูใส่พริกซอย รสก็ถือว่าคนไทยกินได้ ได้ปอเปี้ยผักจิ้มน้ำจิ้มไก่ ก็ไม่ถือว่าแย่ (อาจจะเพราะหิวก็ได้) ราคาเครื่องดื่มก็ถือว่ามาตรฐาน (ออกไปทางแพง) มองไปดูของที่ขายในซุปเปอร์หรือร้านสะดวกซื้อแล้วจะพบว่าสุราถูกกว่าประเทศไทย (อาจจะเพราะไม่มีภาษี % แอลกอฮอล์) แล้วก็มีความหลากหลายที่มากกว่า อย่างเบียร์เยอรมันยี่ห้อ Becks ที่ไม่เคยเห็นจำหน่ายในไทยก็มีจำหน่ายที่นี่ด้วย ส่วนของน้ำเปล่าถือว่าแพง น้ำขวดละ S$ 2

อาหารการบินในมาเลเซีย

ตอนที่ไปถึง Butterworth นั้นก็ถือว่าดึกแล้ว (4 ทุ่ม) ระหว่างที่เดินไปโรงแรมก็เจอโรงอาหารคนจีนอยู่แห่งหนึ่ง เก็บของเสร็จก็เดินย้อนมา ร้านก็แทบไม่เหลือแล้ว ได้ทานก๋วยเตี๋ยวแบบเวียดนาม 1 จาน (เพราะคนขายเป็นเวียดนาม ฟังสำเนียงพูดตอนแรกก็ว่าไม่ใช่จีนนะ จนพี่คนไทยในนั้น 1 คนมาคุยด้วยถึงรู้ว่าเป็นอย่างที่คิด) ทานสะเต๊ะไก่แบบมาเลย์ ซึ่งแตกต่างจากบ้านเราคือ เนื้อเป็นตุ้ม ๆ ไม่แบนแผ่ติดกับไม้ กับน้ำจิ้มหวานหอมเครื่องเทศ มีผักจิ้มแต่ไม่มีน้ำอาจาด พร้อมเบียร์ 1 ขวด เช้าต่อมาข้ามไปปีนังแบบงง ๆ เพราะไม่ได้วางแผนว่าจะหาอะไรกินที่นั่น เปิดเจอเว็บของคุณว่านน้ำแนะนำร้านติ่มซำ เราก็เปิดแผนที่หาตำแหน่งทันทีแล้วก็เดินไปมั่ว ๆ จนเจอถึงแว้บแรกก็ตะลึงกับจำนวนแขกที่แทบไม่มีที่นั่งในร้านแล้ว (นั่น 9 โมงกว่านะ) รสชาติอาหารอร่อยถูกปากมีซาลาเปาไส้เยิ้มด้วย! ราคามิตรภาพ แต่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่นี่ก็ทำให้น้องตะลึงไปเหมือนกันเพราะร้านนี้ใช้บิลในลักษณะเขียนราคาสินค้าไว้แล้ว เราก็เดาว่ามันต้องตรงกับซักตัวเลขบนนี้พลิกโผเป็นเจ๊แกเขียนราคาใหม่เพิ่มลงไปอีก แต่ก็ถือว่าราคาไม่โหดเมื่อเทียบกับร้านเหล้าในสิงคโปร์ มีโอกาสได้สำรวจ Starbucks บนเกาะพบว่าราคาแก้วกลางถูกกว่าไทยนอกนั้นจะแพงกว่าไทย ส่วนน้ำเปล่าถูกกว่าสิงคโปร์ เพราะใช้เลขราคาเดียวกันต่างกันแค่หน่วยเงิน (เงินมาเลย์ถูกกว่าสิงคโปร์)

ด่านตรวจคนเข้าเมือง

ตอนเข้า Changhi เจอตำรวจแต่เราไม่ทราบ นึกว่าเป็นนายหน้าทัวร์ (ฮา) ดูเขาแต่งตัวสบาย ๆ เกินไปนะ (แต่ก็เรียบร้อย) คำถามเบื้องต้นที่เขาถามคือมาทำไม ของอยู่ไหน เราก็ตอบไปตามตรงว่าพรุ่งนี้จะไปแล้ว มาแค่กระเป๋าเป้นี่แหละ ส่วนด่าน Woodlands นั้นไม่มีคำถามอะไรเลยปั้ม Passport กันอย่างเดียว ส่วนด่านปะดังเบซาร์ (ชายแดนฝั่งมาเลย์) ไม่มีใครมาเรียกเราให้ลงจากรถไปตรวจนะ (ตอนนั้นหัวรถจักรของมาเลย์ได้จากเราไปแล้ว) เราก็นั่งงงอยู่นั่นแหละ (ขบวนรถของเราอยู่ฝั่งของ ตม. ไทยแล้ว แต่ขบวนที่ชาวต่างชาตินั่งกันอยู่ฝั่ง ตม. มาเลย์) เราก็เดินลงจากรถไปถามตำรวจไทยว่าต้องตรวจไหมเขาก็บอกว่าต้องตรวจซิ เราก็เลยเดินตามชาวต่างชาติไป ด่านนี้ก็ดูไม่ต่างจาก Woodlands คือมี 2 ประเทศมาอยู่ด้วยกัน ฝั่งไทยก็ไทยจ๋าเลย มีสติ้กเกอร์รณรงค์ทุกโครงการของไทยแปะอยู่เรียบร้อยต่างจากฝั่งมาเลย์ที่แทบไม่มีอะไรเลยสะอาดสะอ้าน

สรุป

เป็นประสบการณ์การนั่งรถไฟระยะเวลารวมที่ยาวนานที่สุดที่เคยนั่งมา 14 + 21 = 35 ชั่วโมง เราก็ได้พบเห็นความเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศ รู้สึกว่ามาเลย์ยังอนุรักษ์ธรรมชาติได้ดีมากตลอดแนวทางรถไฟ แม้มองไกลก็ยังพอพื้นที่ต้นไม้ที่เยอะกว่า (ไม่ใช่แค่ล้อมรอบทางรถไฟ) เราก็ได้แต่หวังว่ามันจะยังคงเป็นแบบนี้ไปอีกนาน ๆ แล้วก็หวังว่าไทยจะสามารถทำให้ต้นไม้กลับมาเยอะ ๆ ได้เช่นกัน

Tags