หลังจากที่ใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ กับกำหนดการจัดส่งสินค้าของ Apple ในที่สุด ทั้ง Magic Trackpad 2 และ Magic Keyboard ก็เดินทางมาถึงที่บ้านเสียที เรื่อง Magic Keyboard น่าจะได้เขียนถึงวันหลัง (เพราะยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนอะไรที่จะต้องเปลี่ยน) แต่ Magic Trackpad 2 นี้สำคัญกว่าเพราะมีฟังก์ชั่นพิเศษที่ต่างจาก Magic Trackpad ตัวเดิมอย่างมีนัยยะสำคัญ
แกะกล่อง
Magic Trackpad 2 นี้มาในบรรจุภัณฑ์ที่เรียบง่าย ขนาดพอดีตัวผลิตภัณฑ์ (ตามรูปแบบหีบห่อผลิตภัณฑ์ของ Apple รุ่นใหม่) กล่องเป็นกล่องเลื่อนจากทางทิศข้าง เปิดออกมาเจอ Magic Trackpad 2 ห่ออยู่ในซองพลาสติกสีขาวขุ่นพร้อมหูให้หยิบออกมาง่าย เมื่อหยิบห่อ Magic Trackpad 2 ออกมาจะพบกับสาย Lightning และเอกสารข้อมูลความปลอดภัย ตัวบรรจุภัณฑ์ที่จำหน่ายในประเทศไทยนี้มีวางจำหน่ายในมาเลเซียด้วย เนื่องจากมีภาษามลายูและที่อยู่ของ Apple มาเลเซีย
Magic Trackpad 2 มีขนาด 16 × 11.49 เซนติเมตร พร้อมกับระดับลาดเอียงนิดหน่อย กางมือเต็มที่แล้วมันก็ยังใหญ่กว่าฝ่ามือของผม หากดูจากวีดีโอรีวิวของต่างประเทศ จะนึกว่าสีขาวด้านบนนั้นมีความมันวาว แต่เมื่อสัมผัสกับของจริง มันก็คือแก้วแบบเดียวกับ Trackpad รุ่นที่ผ่านมา เพียงแต่มีการทำสีให้เป็นสีขาวขุ่น (นึกถึงกระจกขุ่นในห้องน้ำ) และผิวสัมผัสก็คล้าย ๆ กันแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันฝืดกว่า
รอบตัวเครื่องมีสวิตช์เปิด/ปิด ลักษณะเดียวกับสวิตช์เปิดปิดของ Magic Mouse และมีพอร์ต Lightning สำหรับเสียบชาร์ตและเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งหากขี้เกียจ Pair Bluetooth เองก็สามารถใช้งานสาย Lightning จัดการได้เช่นกัน
การใช้งาน
ขั้นแรกก็ทำตามวีดีโอรีวิวที่เขาทำกัน ก็คือเปิดสวิตช์บน Magic Trackpad 2 ต่อสาย Lightning เข้ากับเครื่องและ Magic Trackpad 2 ปุ๊บ ก็มีสถานะเชื่อมต่อให้เรียบร้อยทันที หากเคยมีการตั้งค่า Magic Trackpad รุ่นเก่ามาก่อน ค่าเหล่านั้นก็จะถูกโอนมาให้ Magic Trackpad 2 ทันที ขั้นนี้ก็สามารถดึงสาย Lightning ออกได้ทันที
สำหรับการใช้งานนั้น การกดต่าง ๆ เหมือนกับที่เคยกดบน Trackpad ของ MacBook Retina นั่นคือเมื่อเรากดลงไปลึกระดับหนึ่งตัว Trackpad จะออกแรงสะท้อนกลับมาที่นิ้ว จากที่ลองกดดูทั้งแผ่นก็ได้ความรู้สึกนี้เหมือน ๆ กัน เพียงแต่หากกดที่ตำแหน่งด้านบนของ Trackpad มีแนวโน้มว่านิ้วของเราจะเลื่อนลงเพราะแรงสั่นนั้น ต่างจากการกดบริเวณตรงกลาง ถึงด้านล่างของ Trackpad ที่ไม่ค่อยมีอาการดังกล่าว (เป็นไปได้ว่านิ้วมืออาจจะไม่แข็งแรงพอก็ได้)
ผมลองใช้กับโปรแกรมทั่ว ๆ ไปทั้ง Safari, Chrome, iMessage สำหรับ Safari และ iMessage นั้นสามารถใช้งานฟีเจอร์ Force Touch ได้เต็มที่ ทั้งกดย้ำหนักบนคำเพื่อให้ขึ้นความหมายของคำ กดย้ำบนลิงค์เพื่อแง้มดูหน้าเว็บ (ซึ่งจะรู้สึกดีมากถ้าความเร็วของอินเตอร์เน็ตเร็ว เพราะจะเหมือนกดปุ๊บเห็นปั้บ) ซึ่งก็ได้ลองกับอีกโปรแกรมคือ NetNewsWire 4 ก็มีพฤติกรรมการใช้งานเหมือนกับ Safari เลย (อาจจะเพราะ WebView ของ OS X มันรองรับ Force Touch อยู่แล้ว) ส่วนใน Chrome นั้น ณ วันที่เขียนนี้สามารถใช้ได้เฉพาะการกดย้ำบนคำเท่านั้น ไม่สามารถแง้มดูลิงค์ได้
จุดที่รู้สึกขัดใจนิดหน่อยบน Magic Trackpad 2 นี้คือสวิตช์เปิดปิด เพราะมีขนาดที่ค่อนข้างเล็ก ทำให้ใช้นิ้วไปเกี่ยวให้ปิดเปิดได้ลำบากไปหน่อย แต่นั่นก็อาจจะเป็นปัญหาความเคยชิน หากใช้ไปนาน ๆ อาจจะไม่มีปัญหานี้
การใช้พลังงาน
ตอนที่เชื่อมต่อ Trackpad ครั้งแรกเข้ากับเครื่องนั้น OS X รายงานค่าพลังงานของ Trackpad อยู่ที่ 95% ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเชื่อเลขนี้ได้ขนาดไหน จากที่ลองนั่งเล่นเน็ตเบา ๆ อยู่ราว 1 ชั่วโมง (ไม่ได้มีการใช้ Trackpad ตลอดเวลา) เช็คดูสถานะก็ยังเป็น 95% เหมือนเดิม และก็ลืมปิดสวิตช์ของ Trackpad ทิ้งไว้เกือบ 7 ชั่วโมง ตื่นมาดูก็ยังคงเห็น 95% เช่นเดิม ดูแล้วว่าการลืมปิดสวิตช์ในช่วงเวลากลางคืน ไม่น่าจะทำให้สิ้นเปลืองพลังงานมาก
เรื่องการสิ้นเปลืองพลังงานนั้นคงต้องดูในระยะยาวซักเดือนว่ามันจะอยู่ทนขนาดไหน รวมถึงความเร็วในการชาร์ตไฟว่าจะทำได้ดีเพียงใด
ทิ้งท้าย
การออก Magic Trackpad 2 นี้ เป็นการที่ทำให้ OS X นั้นสามารถใช้งาน Force Touch ได้บนเครื่องทุกรุ่น ซึ่งฟีเจอร์ Force Touch นี้ถือว่าเป็นลูกเล่นตัวใหม่ที่เพิ่มมิติของการใช้งานระบบ ผมมองว่าออกมาช้าไปหน่อย น่าจะออกมาตั้งแต่เปิดตัว MacBook Retina เลย แต่ถ้าคิดในมุมว่าจะเปิดตัวพร้อมกับ Mac ตั้งโต๊ะนี่ก็คงเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้ว (แต่กว่าจะเปิดตัว Mac ตั้งโต๊ะนี่ก็ถือว่าช้าไปแล้วนะ) คาดหวังว่าต่อไปจะมีฟังก์ชั่น Force Touch ไปอยู่บน Application ต่าง ๆ มากขึ้น รวมถึงมีวิธีใช้งานอื่น ๆ บน OS X ที่เกิดจากการใช้งาน Force Touch นี้ใน OS X รุ่นต่อไป